หนาวมาแล้ว..ระวังโรคเน่าคอดิน

ในช่วงหน้าหนาวโรคที่ยอดฮิตในหมู่พืชผักมีมากมายหลายโรคและหนึ่งในนั้นคือ โรคเน่าคอดิน (damping-off) ซึ่งเป็นโรคที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมากต่อพืชผักหลากหลายชนิด หลากหลายตระกูล โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นในช่วงต้นกล้า โรคนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่าโรคกล้าตายพรายหรือโรคเหี่ยวเขียวนั้นเอง

เชื้อราหลายชนิดที่เป็นสาเหตุในการเกิดโรคเน่าคอดิน
– Phycomycetes : Pythium spp.
– Phytophthora spp
– Deuteromycetes : Botrytis cinerea
– Diplodia pinea
– Cylindrocladium scoparium
– Fusarium spp
– Pestalozzia funerea
– Rhizoctonia solani
– Sclerotium bataticola

ลักษณะอาการของโรค
เชื้อราจะเข้าทำลายพืชในระยะต้นกล้า ทำให้ลำต้นเน่าและตายลงอย่างรวดเร็ว เส้นใยของราที่เป็นสาเหตุจะแพร่กระจายอยู่ในดินและเข้าสู่ต้นกล้าโดยแทงเข้าไปในเซลล์ผิว

อาการต้นกล้าเน่า
อาการทั่วไปในแปลงจะพบว่า ต้นกล้าฟุบตายเป็นหย่อมๆ เมื่อนำมาพิจารณาดูที่ต้นจะเห็นว่าบริเวณโคนต้นจะมีลักษณะแผลซ้ำ เหี่ยวแฟบ คอรวงเป็นสีน้ำตาลดำและเน่า เป็นเหตุทำให้ต้นกล้าหักพับลง พบกับกล้าพืชแทบทุกชนิดในแปลงที่มีกล้าแน่นเกินไปและความชื้นสุง สาเหตุเนื่องจากเชื้อราอาการต่างๆ ของโรคดังกล่าวมาแล้ว จะเกิดได้รุนแรงขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับพืช ชนิดและปริมาณของเชื้อโรค และสภาพแวดล้อม เชื้อโรคแต่ละชนิดต้องการสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไป เช่น โรคเน่าคอดิน โรครากเน่าจะเกิดรุนแรงเมื่อความชื้นสูง ดินมีการระบายน้ำไม่ดี โรคเน่าเละของผักระบาด เมื่อความชื้นสูงและอากาศร้อน โรคราแป้งขาวเป็นได้ดีในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งในขณะที่โรคราน้ำค้างเป็นโรคได้ดีและระบาดมาก เมื่อมีความชื้นสูงและฝนชุก โรคใบจุด(ตากบ) ของยาสูบพบว่าในแปลงที่มีปุ๋ยไนโตรเจนสูง ทำให้เกิดโรคมาก โรคเหี่ยวของมะเขือเทศที่เกิดจากเชื้อราจะเป็นโรครุนแรงมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินที่ปลูกและอัตราส่วนปุ๋ยไนโตรเจนและโพแทสเซียมที่ให้สรุปได้ว่า เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสม เชื้อจะเจริญได้ดีมีการเพิ่มปริมาณจำนวนมากและเข้าทำลายพืชได้ง่าย โดยอาจเข้าทำลายโดยตรง เช่น เชื้อราหรืออาจเข้าทางบาดแผลและทางรูเปิดธรรมชาติ เช่น ปากใบในสภาพที่พอเหมาะเชื้อจะเข้าไปเจริญและขยายพันธุ์ในส่วนต่างๆ ของพืช และแสดงอาการโรคให้เห็น ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่เชื้อมีจำนวนมาก พร้อมที่จะแพร่ระบาดขยายขอบเขตของการเกิดโรคออกไป โดยมีลมหรือน้ำพัดพาติดไปกับส่วนขยายพันธุ์ หรือเมล็ดพันธุ์ แมลงและสัตว์บางชนิดพาไป ติดไปกับเครื่องมือหรือวัสดุการเกษตร เช่น มีด จอบ เสียม ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักหรือบางทีมนุษย์ก็เป็นผู้นำโรคแพร่ระบาดเสียเองและสามารถแพร่ระบาดได้ไกลข้ามประเทศ โดยการนำหรือแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชที่มีโรคติดอยู่ เป็นต้น

อาการโรคเน่าคอดิน แบ่งออกเป็น 2 ขั้น คือ
1. ราเข้าทำลายเมล็ดหรือต้นกล้า ก่อนที่จะงอกพ้นดิน ทำให้เมล็ดไม่งอกหรือรากต้นอ่อน ถูกทำลายทันที ทำให้ไม่มีใบเลี้ยงออกมา
2. ต้นกล้าเป็นโรคเมื่อโผล่พ้นดินแล้ว ถ้าเข้าทำลายส่วนล่างหรือส่วนราก โดยราจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในเนื้อเยื่อพืชโดยเฉพาะราก ทำให้ต้นกล้าเหี่ยวทั้งต้นและหักล้มก่อนจะแสดงอาการเหี่ยว โดยส่วนติดผิวดินจะเน่าในขณะที่ส่วนอื่นยังเต่งอยู่ แต่ถ้าเชื้อราเข้าทำลายส่วนบนหรือส่วนใบเลี้ยง ซึ่งจะพบไม่บ่อยนัก จะพบเมื่อต้นกล้าอยู่กันอย่างหนาแน่นภายหลังจากระยะที่มีฝนตก

การป้องกันกำจัดมีวิธีการป้องกันกำจัดอยู่หลายวิธี
1. ใช้ชีววิธีโดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ซึ่งเป็นศัตรูของราที่ทำให้เกิดโรคเน่าคอดิน โดยทำการคลุกกับเมล็ดหรือดิน หรือแช่เมล็ดและกิ่งพันธุ์ในอัตรา 200 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร เป็นเวลา 2-10 ชม. ขึ้นอยู่กับความหนา บางของเยื่อพืชแต่ละชนิด จะป้องกันการเกิดโรคได้ผลดี หลังเพาะชำ พ่นในอัตรา 100 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร และฉีดพ่นหลังปลูกให้ทั่วใบ กิ่ง ก้านและโคนต้นทุก 10 วัน เพื่อป้องกันและกำจัดโรคพืช
2. คลุกเมล็ดด้วยสารเคมีที่ฆ่าเชื้อรา (fungicide) ช่วยป้องกัน hypocotyls และ radicle ที่งอกมาให้มีความต้านทานต่อรา ที่นิยมใช้คือ captan, dichlone และ thiram
3. ใช้สารเคมีพ่นต้นกล้าในระยะที่ปลูกใหม่ เช่น ziram, chloranil, captan, soluble coppers ถ้าดินมีเชื้อมากและมีความชื้นสูง
4. ปรับสภาพแวดล้อมเพื่อลดความรุนแรงของเชื้อโรคโดย
4.1 เพาะเมล็ดในระดับตื้น ลึกจากผิวดิน 1/4 นิ้ว งดให้น้ำตอนเช้าเพื่อให้การระเหยน้ำเร็วขึ้น จัดการระบายน้ำ ในแปลงเพาะให้ดี
4.2 กำหนดความหนาแน่นของกล้าในแปลงเพาะให้เหมาะสม
4.3 กำจัดวัชพืชในแปลงเพาะ
4.4 ไม่ควรให้ร่มเงามากเกิน 50 เปอร์เซ็นต์
4.5 ใช้ปุ๋ยที่มีระดับของไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโปแตสเซียม สมดุลเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ลำต้น โดยอัตราที่เหมาะสมคือ nitrogen : phosphorus : potassium = 1:2:1
4.6 ใช้ดินที่เป็นกรดในการเพาะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *